เครื่องวัดความแข็งของยาง (Durometer Type A)
ค่าความแข็งคือผลจากการวัดที่มีรูปแบบภายใต้เงื่อนไขของการใช้แรงและชนิดของหัวกดกระทำลงบนพื้นที่ผิงของวัสดุ
ได้รับการบรรจุเข้าสู่ระบบมาตรวิทยาและมีความหลากหลายของระบบและหน่วยของการวัด
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของวัสดุเป็นสำคัญ
ใช้เป็นตัวชี้บอกถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และใช้เป็นเครื่องมือหลักในการควบคุมคุณภาพการผลิต
จึงเกิดเป็นนิยามที่มาจากพื้นฐาน การตรวจสอบที่หลากหลายในปัจจุบัน
ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อกำหนดในทางฟิสิกส์ได้ดังนี้
- เป็นการต้านมานการเคลื่อนที่ของแรงกด
หรือน้ำหนักที่กดลงโดยเครื่องมือ
- เป็นการดูดกลืนพลังงานภายใต้การอัดและการสะท้อนอันเนื่องมาจากความแข็งของวัสดุ
- เป็นการต้านทานการขูดขีด, ตัด หรือ เจาะ
- เป็นการต้านทานการทำให้เกิดรอย
เครื่องวัดความแข็งในปัจจุบันมีหลายชนิดข้นกับลักษณะการใช้งานและการเลือกชนิดที่ใช้ต้องมีความถูกต้องและเหมาะสม กับระบบการวัดวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์เครื่องวัดความแข็งของยางชนิด
เอ (Type A) เป็นเครื่องวัดวิเคราะห์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้เป็นตัวชี้บอก ค่าความแข็งทางด้านยาง
ที่ใช้เป็นมาตรฐานในปัจจุบันและได้รับการผลิตตามมาตรฐาน ASTM D
2240 , JIS K 6253 กับมาตรฐาน JIS K 6301
ซึ่งในข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานสากลเครื่องวัดความแข็งชนิดเดียวกันจะต้องแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่ามีความสอดคล้อง ของค่าบ่งชี้
และเป็นไปตามข้อกำหนดของคุณลักษณะเฉพาะของเครื่องมือชนิดนั้นๆ
ซึ่งเครื่องวัดความแข็งของยางชนิด เอ แสงให้เห็นดังภาพ
ภาพที่ 1 :
แสดงคุณลักษณะหัวกดเครื่องวัดความแข็งของยางชนิด เอ
ชนิด
|
การใช้/วัสดุ
|
มาตรฐาน
|
แรงสปริง นิวตัน (กรัม) ความแข็ง
0-100 |
ขนาดของหัวกด (มม.)
ขนาด/ความสูง |
A |
สำหรับยางทั่วไป/วัสดุที่มีความยืดหยุ่น |
ASTM D 2240 JIS K 6253 |
0.550-8.050 N (56.1-821.1 gf) |
ทรงรูปกรวยปลายตัด เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.79
มม. , ทำมุม 35 องศา / 2.50 +/-0.04 |
A |
สำหรับยางทั่วไป/วัสดุที่มีความยืดหยุ่น |
JIS K 6301 |
0.539-8.379 N (55-855 gf) |
ทรงรูปกรวยปลายตัด เส้นผ่านศูนย์กลาง 0.79
มม. , ทำมุม 35 องศา / 2.50 +/-0.04 |
ตารางที่ 1 :
แสดงคุณสมบัติเครื่องวัดความแข็งชนิด เอ
และถ้าได้พิจารณาคุณสมบัติในตารางที่
1 จะเห็นได้ว่ามีสิ่งที่แตกต่างกันของมาตรฐานการผลิต คือ
แรงของสปริงจะมีผลทำให้ค่าบ่งชี้แตกต่างกันไปด้วย
สามารถแสดงให้เห็นได้ด้วยสมการ ASTM D 2240 , JIS K
6253 , แรง (นิวตัน) = 0.550+0.075 Hx
JIS K 6301 ,
แรง (นิวตัน) = 0.539+0.0784 Hx Hx
คือค่าความแข็งของยางชนิด เอ เมื่อแทนค่า
ค่าความแข็งลงในสูตรการคำนวณสามารถแสดงความแตกต่างของแรงให้เห็นได้ตามตารางที่
2
ค่าความแข็ง (
0-100)
|
ASTM D 2240 และ
JIS K 6253 แรง
(นิวตัน) |
JIS K 6301 แรง
(นิวตัน) |
0 |
0.550 |
0.539 |
10 |
1.300 |
1.323 |
20 |
2.050 |
2.107 |
30 |
2.800 |
2.945 |
40 |
3.550 |
3.675 |
50 |
4.300 |
4.459 |
60 |
5.050 |
5.243 |
70 |
5.800 |
6.027 |
80 |
6.550 |
6.811 |
90 |
7.300 |
7.595 |
100 |
8.050 |
8.379 |
ตารางที่ 2 : เปรียบเทียบค่าของแรงที่มีความแข็งเดียวกันระหว่างมาตรฐาน
ASTM D 2240 , JIS K 6253 กับ JIS K 6301
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันมาตรฐาน
JIS K 6301 จะได้รับการปรับปรุงแก้ไขใหม่ในเดือนสิงหาคมปี
ค.ศ.1998 หลังจากมีการประชุมร่วมกันของคณะทำงาน
แต่ยังคงมีเครื่องมือวัดที่ผลิตตามาตรฐานนี้อยู่และผลของการวัดค่าความแข็งจะถูกใช้เพื่อการคาดคะเนและใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงข้อตกลงของมาตรฐาน ทั้ง
2 ฝ่าย
ดังนั้นการเลือกที่จะซื้อเครื่องมือเพื่อการใช้งานต้องพิจารณาถึงมาตรฐานการผลิตของเครื่องมือ,
รุ่นที่ผลิตแล้วจะต้องพิจารณาถึงความถูกต้องเป็นสำคัญ
ยังคงมีหลายๆ
หน่วยงานของโรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้เครื่องมือวัดความแข็งของยางชนิด
เอ ๙งได้รับการผลิตตามมาตรฐาน JIS K 6301
หรืออาจมีเครื่องที่ผลิตตามมาตรฐานทั้ง 2
ระบบแล้วเข้าใจว่าค่าความแข็งของเครื่องเป็นค่าเดียวกันกับมาตรฐาน
ASTM D 2240 หรือ JIS K 6253
เพราะเป็นเครื่องที่มีรูปแบบลักษระเหมือนกันและยังแสดงชนิดของการวัดเหมือนกันอีกด้วย
จากความแตกต่างของแรงสปริงในแต่ละมาตรฐานสามารถแสดงการเปรียบเทียบค่าความถูกต้องของค่ามาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบันตามตารางที่
3
มาตรฐานที่ใช้ในปัจจุบัน
ASTM D 2240 , JIS K 6253
(ค่าความแข็ง) |
มาตรฐาน JIS K
6301 (ค่าความแข็ง) |
10.0 |
9.8 |
20.0 |
19.5 |
30.0 |
28.5 |
40.0 |
38.6 |
50.0 |
48.2 |
60.0 |
57.8 |
70.0 |
67.4 |
80.0 |
76.9 |
90.0 |
86.5 |
100.0 |
96.1 |
ตารางที่ 2 : เปรียบเทียบความแข็งระหว่าง ASTM D 2240 , JIS K
6253 และมาตรฐาน JIS K 6301
ที่แรงสปริงเดียวกัน
จากค่าความแข็งที่แสดงให้เห็นในตารางที่
3 จะเห็นได้ว่า เมื่อนำเครื่องวัดความแข็งที่ผลิตตามมาตรฐาน JIS
K 6301
มาใช้งานค่าที่วัดได้จะต่ำกว่าค่าความเป็นจริงเมื่อเทียบกับมาตรฐาน
ASTM D 2240 , JIS K 6253
และจะทำให้ค่าเบี่ยงเบนมากขึ้นเมื่อค่าของการวัดสูงขึ้น
ดังนั้นการเลือกซื้อเพื่อการใช้งานควรพิจารณาถึงมาตรฐานการผลิตเป็นสำคัญแล้วควรศึกษาถึงคู่มือรายละเอียดของการใช้งานเพื่อให้แน่ใจได้ว่าเครื่องมือที่ ได้จัดซื้อนั้นถูกต้องและเหมาะสมตามจุดประสงค์ของการใช้งาน
ที่มา :
คัดลอกบางส่วนของเนื้อหามาจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย
( ประวิทย์ จงนิมิตรสถาพร) |