การทดสอบแรงดึงของโลหะ (Tensile
test of metal)
การทดสอบแรงดึงคืออะไร
การทดสอบแรงดึงใช้สำหรับการประเมินความแข็งแรงของโลหะหรือโลหะผสมด้วยการใช้วิธีดึงจนขาดในช่วงเวลาสั้น
ๆ ด้วยอัตราคงที่
ตัวอย่างที่ใช้ทดสอบจะมีลักษณะแตกต่างกันไปสำหรับโลหะอาจทำเป็นแผ่นหรืออาจทำเป็นแท่ง
(ภาพที่1)โดยข้อมูลที่ได้คือกราฟระหว่างความเค้นกับความเครียดทางวิศวกรรมหรือแรงและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของชิ้นงาน
ภาพที่1 :
ตัวอย่างลักษณะของชิ้นทดสอบแรงดึงแบบแผ่นและแบบแท่ง
ข้อมูลสมบัติเชิงกลที่ได้จากการทดสอบแรงดึงและ แผนภาพความเค้นและความเครียด ทางวิศวกรรมมีดังนี้
- โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก (Modulus of elasticity)
- ความเค้นและความเครียด ณ. จุดคราก (Stress and strain at
yield)
- ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Ultimate tensile stress)
- เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (Percent elongation)
โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก (Modulus of
elasticity)
โมดูลัสของความเป็นอิลาสติก :
เป็นค่าความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของวัสดุ เมื่อได้
รับแรงกระทำสามารถหาได้จากความชันของกราฟความเค้นและความเครียดของวัสดุในระยะแรก
ที่ยังแสดงสมบัติยืดหยุ่นอยู่ สำหรับโลหะจะมีค่าน้อยกว่า 0.5 %
ของความเครียด โดยที่โมดูลัส
ของความเป็นอิลาสติกนี้เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงของพันธะ (bond
strength) ระหว่างอะตอม ของโลหะหรือของโลหะผสม (ดูตารางที่ 1)
โลหะที่มีค่าโมดูลัสของความเป็นอิลาสติกสูงจะแกร่ง
ไม่เปลี่ยนแปลงรูปร่างง่าย เช่น
เหล็กกล้ามีค่าโมดูลัสของการยืดตัว 30 x 106 psi. (207 GPa)
ในขณะที่โลหะอลูมิเนียมมีค่าต่ำกว่าประมาณ 10 - 11 x 106 psi (69
- 76 GPa) โปรดสังเกตว่า
ในช่วงความยืดตัวของแผนภาพความเค้นและความเครียดค่าโมดูลัสจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อความเค้นเพิ่มขึ้น
ตารางที่ 1 แสดงค่าคงที่ของการยืดตัวของ Isotropic
Materials ที่อุณหภูมิห้อง
Materials |
Modulus of
elasticity |
Shear Modulus |
Poissons
ratio |
10-6 psi
(GPa) |
10-6 psi (GPa) |
Aluminium alloys |
10.5 (72.4) |
4.0 (27.5) |
0.31 |
Copper |
16.0 (110) |
6.0 (41.4) |
0.33 |
Steel |
29.0 (200) |
11.0 (75.8) |
0.33 |
Stainless steel |
28.0 (193) |
9.5 (65.6) |
0.28 |
Titanium |
17.0 (117) |
6.5 (44.8) |
0.31 |
Tungsten |
58.0 (400) |
22.8 (157) |
0.27 |
ที่มา : G.Dieter "Mechanical Metallurgy". 3d.ed.
McGraw-Hill, 1986 G = giga = 109
ความเค้นและความเครียด ณ. จุดคราก (Stress and strain at
yield)
ความเค้นและความเครียด ณ. จุดคราก :
เป็นค่าความเค้นและความเครียดของวัสดุ ณ.จุดที่เปลี่ยน
สมบัติจากอิลาสติกไปเป็นพลาสติก
หรืออีกนัยหนึ่งหมายความว่าวัสดุนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
อย่างถาวรเมื่อความเค้นหรือความเครียดมีค่ามากกว่านี้
สำหรับวัสดุที่แสดงจุดครากอย่างชัดเจนเราจะ
สังเกตได้จากที่กราฟมีค่าความชันเท่ากับศูนย์
ส่วนในกรณีที่วัสดุไม่แสดงจุดครากอย่างอย่างชัดเจนนั้น
อาจกำหนดให้ใช้ 0.2% หรือ 0.1% ของ plastic strain
ที่เกิดขึ้นในแผนภาพความเค้นและความเครียด
เป็นค่ากำหนดในการหาจุดคราก อาจเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า offset
yield
ความต้านทานแรงดึงสูงสุด (Ultimate tensile strength)
ความต้านทานแรงดึงสูงสุด : คือความแข็งแรงสูงสุดของวัสดุ
พิจารณาจากความเค้นทางวิศวกรรม
สูงสุดในแผนภาพความเค้นและความเครียดค่านี้ไม่ค่อยใช้มากในงานออกแบบทางวิศวกรรมก่อสร้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกโลหะอ่อน (ductile alloy)
เนื่องจากมีการการเปลี่ยนรูปอย่างถาวรขึ้น
อย่างมากก่อนถึงค่าความต้านทานแรงดึงสูงสุด
แต่อย่างไรก็ตามค่าความต้านทานแรงดึงสูงสุดนี้
ยังสามารถบ่งชี้ได้ว่าโลหะนั้นมีความสมบูรณ์หรือไม่ถ้าโลหะนั้นไม่สมบูรณ์
เช่น มีรูพรุน (Porosity) จะทำให้ค่า strength ลดลง
เปอร์เซ็นต์การยืดตัว (Percent elongation (%Strain) )
เปอร์เซ็นต์การยืดตัว : ปริมาณ
เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงรูปร่างของชิ้นงานตัวอย่างภายใต้แรงดึง
เมื่อเทียบ กับระยะการวัด (gage length) ของชิ้นงานทดสอบ
และยังเป็นค่าที่ใช้บอกถึงความอ่อน (ductile) ของวัสดุ
โดยทั่วไปโลหะยิ่งอ่อนยิ่งมีค่าเปอร์เซ็นต์ความยืดมากแสดงว่าโลหะนั้นเปลี่ยนรูปมาก
สำหรับโลหะอลูมิเนียมบริสุทธิ์ที่เป็นแผ่นหนา 0.062 นิ้ว (1.6
mm) จะมีเปอร์เซ็นต์การยืดตัว สูง ถึง 35 %
แต่ถ้าเป็นโลหะอลูมิเนียมผสม (ความแข็งแรงสูงกว่า) 7075-T6
ที่หนาเท่ากัน จะมีเปอร์เซ็นต์การยืดตัว เพียง 11 %
เปอร์เซ็นต์การยืดตัว ณ จุดที่ขาดมีความสำคัญทางด้านวิศวกรรมมาก
เพราะนอกจากจะทำ
ให้เราทราบว่าโลหะนั้นอ่อนเพียงใดแล้วยังจะเป็นดัชนีที่ชี้ให้ทราบว่าโลหะนั้นมีคุณภาพอย่างไรอีกด้วย
ที่มา : วัสดุวิศวกรรม รศ. แม้น
อมรสิทธิ์,โลหะวิทยาในงานอุตสาหกรรม ขจรศักดิ ศิริมัย |