การทดสอบการดัดโค้ง (Bending Test)
การทดสอบการดัดโค้ง
เป็นการทดสอบเพื่อดูพฤติกรรมการแปรรูปของวัสดุหลังจากทำการดัดโค้ง
โดยพิจารณาดูว่าที่ผิวด้านนอกของชิ้นทดสอบตรงบริเวณที่ทำการดัดโค้งเกิดรอยแตกขึ้นหรือไม่
หลังจากทำการดัดโค้งชิ้นทดสอบด้วยรัศมีความโค้งที่กำหนด
จนได้มุมตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐานการทดสอบ
หลักการในการทดสอบการดัดโค้ง
คือ
ใช้วิธีใดก็ได้ในการดัดชิ้นวัสดุทดสอบซึ่งอาจมีหน้าตัดเป็นวงกลม,
สี่เหลี่ยม หรือรูปทรงหลายเหลี่ยม
ให้ได้รัศมีความโค้งตามที่กำหนดไว้ หรือให้ได้มุมตามที่กำหนด
โดยทิศทางของแรงที่ใช้ในการดัดโค้งต้องคงที่
และการให้แรงในการดัดโค้งต้องเป็นไปอย่างช้าๆ
เพื่อป้องกันการเกิดการเคลื่อนที่ของชิ้นทดสอบในแนวข้าง
หลังจากชิ้นทดสอบโค้งงอไปตามที่กำหนดแล้ว
ทำการตรวจสอบดูว่าที่พื้นผิวด้านนอกของชิ้นทดสอบตรงบริเวณที่ดัดโค้ง
ซึ่งจะเป็นบริเวณที่รับความเค้นแรงดึงในระหว่างการดัดโค้ง
มีรอยแตกเกิดขึ้นหรือไม่
จะเห็นได้ว่าหลักการของการทดสอบการดัดโค้ง
แตกต่างจากการทดสอบสมบัติเชิงกลประเภทอื่นๆ
ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ออกมาในเชิงปริมาณ คือ
ได้ค่าสมบัติเชิงกลออกมาเป็นตัวเลข เช่น
ค่าความแข็ง,ความเค้นจุดคราก
ในขณะที่ผลจากการทดสอบการดัดโค้งจะเป็นผลในเชิงคุณภาพ
คือพิจารณาแค่ชิ้นทดสอบนั้นผ่านเกณฑ์การทดสอบหรือไม่
คือสามารถผ่านการดัดโค้งตามที่กำหนดไว้ในการทดสอบ
โดยไม่เกิดรอยแตกที่ผิวด้านนอกเนื่องจากความเค้นแรงดึง
ได้หรือไม่
การพิจารณาว่าชิ้นทดสอบผ่านการทดสอบการดัดโค้งนั้นหรือไม่นั้นพิจารณาจากการตรวจสอบดูที่ผิวด้านนอกของชิ้นทดสอบว่าไม่มีรอยแตก
การตรวจสอบอาจทำโดยการตรวจสอบด้วยตาเปล่า
หรืออาจใช้กล้องที่มีกำลังขยายไม่เกิน 20
เท่า(ปกติจะกำหนดให้ใช้ตาเปล่า)
สำหรับชิ้นงานที่มีอัตราส่วน ความกว้าง/ความหนา
มากกว่า 8 ขึ้นไป ถ้าตรวจพบรอยแตกที่ขอบ (edge)
ของชิ้นทดสอบ ให้ทำการขัดขอบของชิ้นทดสอบที่แตกนั้นให้เรียบ
แล้วทำการทดสอบใหม่อีกครั้ง
ภาพที่ 1 : ชิ้นงานทดสอบการดัดโค้ง
เมื่อทำการดัดโค้งด้วยมุม
(bending angle) ที่เท่ากัน
วัสดุที่มีความสามารถในการดัดโค้งที่ดีกว่าจะสามารถทำการดัดโค้งโดยใช้รัศมีการดัดโค้ง
(bending radius)
ที่เล็กกว่าได้โดยไม่เกิดรอยแตกขึ้น
ในทางตรงกันข้ามเมื่อทำการดัดโค้งด้วยรัศมีการดัดโค้ง
(bending radius) ที่คงที่
วัสดุที่มีความสามารถในการดัดโค้งที่ดีกว่าจะสามารถทำการดัดโค้งได้ด้วยมุม
(bending angle) ที่มากกว่าจึงจะเกิดรอยแตกขึ้น
รัศมีการดัดโค้งที่ต่ำที่สุด
(minimum bend radius) คือ
รัศมีการดัดโค้งที่น้อยที่สุด
ที่จะสามารถใช้ในการทำการดัดโค้งได้โดยที่ไม่เกิดรอยแตกที่พื้นผิวของวัสดุ
โดยปกติแล้วรัศมีการดัดโค้งที่ต่ำที่สุด (minimum
bend radius) จะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความหนาของชิ้นงาน
ดังนั้นโดยมากมักจะรายงานค่ารัศมีการดัดโค้งที่ต่ำที่สุดโดยการบอกเป็นจำนวนเท่าของความหนาของวัสดุ
(t) เช่น วัสดุที่มีรัศมีการดัดโค้งที่ต่ำที่สุด = 3t
ก็คือวัสดุที่สามารถทำการดัดโค้งด้วยรัศมีการดัดโค้งที่มากกว่า 3
เท่าของความหนาได้โดยไม่เกิดรอยแตกที่ผิว
ค่ารัศมีการดัดโค้งที่ต่ำที่สุด
ไม่ใช่สมบัติที่เป็นค่าคงที่ของวัสดุ
เนื่องมาจากความสามารถของผู้ตรวจสอบรอยแตกในการตรวจพบรอยแตกที่เริ่มเกิดขึ้นไม่เท่ากัน
และการใช้รัศมีการดัดโค้งในการทดสอบได้ไม่ต่อเนื่องและเหมือนกัน
เนื่องจากจำกัดอยู่ที่ รัศมีของ mandrel
ที่ใช้ในการทดสอบ
ในการเปรียบเทียบความสามารถในการดัดโค้งของวัสดุ
ข้อมูลที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้นั้นจะต้องมาจากการทดสอบที่ใช้วิธีการทดสอบแบบเดียวกัน,ผู้ตรวจสอบรอยแตกคนเดียวกัน
และใช้ชิ้นทดสอบที่มีขนาดเท่ากัน ตลอดจนใช้รัศมีการดัดโค้ง
(bending radius) และมุมดัดโค้ง (bending angle)
ที่เท่ากันด้วย ข้อมูลจึงจะสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
อุปกรณ์และเครื่องมือในการทำการทดสอบการดัดโค้ง
นั้นไม่มีข้อกำหนดที่ตายตัว เนื่องจากการทดสอบไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
และไม่ต้องการความละเอียดของเครื่องมือมากนัก
ขอแค่สามารถทำการดัดโค้งชิ้นทดสอบด้วยรัศมีต่างๆตามที่กำหนดไว้
หรือดัดโค้งไปด้วยมุม (bending angle) ที่ต้องการ
เมื่อกำหนดรัศมีการดัดโค้ง (bending radius) ที่คงที่
ได้ก็เพียงพอแล้ว
โดยทั่วไปเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการทดสอบการดัดโค้ง
เช่น pin , roller และ mandrel นั้นควรจะมีความยาวยาวกว่า
ความกว้างของชิ้นทดสอบ และจะต้องมีความแข็งแรง และแข็งเกร็ง
เพียงพอที่จะทนต่อการแปรรูปและการสึกหรอในระหว่างทำการดัดโค้งได้
ภาพที่ 2 : อุปกรณ์และเครื่องมือในการทำการทดสอบการดัดโค้ง
แบบต่างๆ
วิธีการทดสอบการดัดโค้ง
เราสามารถเลือกวิธีการทดสอบการดัดโค้งได้หลากหลายวิธี
ซึ่งแต่ละวิธีจะแตกต่างกันในรายละเอียดแต่จะมีหลักการในการทดสอบที่เหมือนกัน
วิธีทดสอบการดัดโค้งที่นิยมใช้กันโดยทั่วๆ ไปมี 3 วิธี
ได้แก่
1. แบบ pressing
bend
การทดสอบทำโดย
นำชิ้นทดสอบมาวางอยู่บนตัวฐานรอง
ซึ่งควรจะเป็นทรงกระบอกที่มีรัศมีความโค้งไม่ต่ำกว่า 10
มม.
แล้วค่อยๆเพิ่มแรงในการกดที่จุดกึ่งกลางของชิ้นงานทดสอบ
เพื่อทำการดัดโค้งชิ้นงาน ระยะห่างระหว่างฐานรองที่ใช้ในการทดสอบ = 2r + 3t
โดยที่ r คือ รัศมีการดัดโค้ง และ t คือ ความหนา
หรือเส้นผ่านศูนย์กลางของชิ้นทดสอบ ส่วนปลายของ mandrel
จะต้องเป็นทรงกระบอก
ที่มีรัศมีความโค้งเท่ากับรัศมีการดัดโค้งที่ต้องการจะทำการทดสอบ
ภาพที่ 3 : Pressing bending
method
2. แบบ Winding bend
การทดสอบทำโดย
ค่อยๆเพิ่มแรงที่ใช้ในการม้วนชิ้นทดสอบรอบๆ mandrel
ตามที่กำหนดไว้ โดยการที่กดยึดปลายด้านหนึ่งของชิ้นทดสอบไว้
และทำการดัดโค้งที่ปลายอีกด้านหนึ่ง ทำให้เกิดการดัดโค้งรอบ
mandrel ดังรูป
ภาพที่ 4 : Winding bending
method
3. แบบ V-block bend
การทดสอบทำโดย
นำชิ้นทดสอบมาวางอยู่บนฐานรูปตัววี ดังรูป แล้วค่อยๆ
เพิ่มแรงกดผ่าน mandrel ลงตรงกลางของชิ้นงานทดสอบ
เพื่อทำการดัดโค้งชิ้นงานให้ได้ตามที่กำหนดไว้
ภาพที่ 5 : V-block bending
method
ชิ้นงานในการทดสอบการดัดโค้ง
ชิ้นงานที่มีรูปทรงเป็นแผ่น
และท่อนจะสามารถตัดมาทำการทดสอบได้เลย
แต่สำหรับชิ้นงานที่มีหน้าตัดเป็นรูปหลายเหลี่ยม
(polygonal section) ในบางกรณี
ชิ้นทดสอบอาจจะหนาเกินกว่าที่อุปกรณ์ยึดจับจะจับได้
หรือเครื่องที่จะทำการทดสอบการดัดโค้งอาจจะมีกำลังไม่สูงพอ
จึงต้องมีการกลึงไส หรือขัดให้ผิวด้านหนึ่งเรียบลง
โดยใช้ด้านที่ไม่ได้ถูกกลึงเป็นผิวด้านนอกที่จะต้องรับแรงดึงในระหว่างทำการทดสอบการดัดโค้ง
ขอบของชิ้นงานที่ทำการตัดมา
อาจทำการตะไบหรือขัดด้วยสายพานให้ผิวเรียบลงได้
โดยรัศมีของขอบของชิ้นงานควรจะมีขนาดรัศมีมากกว่า 1/10
ของความหนาของชิ้นงานขึ้นไป
แต่สำหรับชิ้นงานที่มีอัตราส่วนความกว้าง/ความหนา มากกว่า 8
ไม่มีความจำเป็นจะต้องเตรียมขอบให้เรียบลง
ยกเว้นในกรณีที่เกิดรอยแตกขึ้นที่มุม
ในระหว่างการทดสอบการดัดโค้ง
สำหรับความยาวของชิ้นทดสอบ
สำหรับการทดสอบแบบ Wrap bending และ
Wipe bending
ชิ้นทดสอบจะต้องมีความยาวพอที่จะสามารถจับได้โดยไม่เกิดการเลื่อนไถล
แต่สำหรับการทดสอบแบบ V-block bending
ขอแค่มีความยาวเกินกว่าระยะระหว่างฐานรองก็สามารถทำการทดสอบได้
ชิ้นงานที่นำมาทดสอบการดัดโค้งจะเตรียมมาจากแนวใดก็ได้
แต่โดยปกติชิ้นงานที่เตรียมในแนวตั้งฉากกับแนวรีด
จะมีความเหนียวต่ำกว่าชิ้นงานที่เตรียมในแนวขนานกับแนวรีด
ภาพที่ 6 : ชิ้นงานทดสอบการดัดโค้งที่เตรียมมาจากแนวต่างๆ
สำหรับชิ้นงานที่มีอัตราส่วน
ความกว้าง/ความหนา ต่ำกว่า 8
สภาวะการทดสอบจะเป็นแบบความเค้นระนาบ
ซึ่งค่าความต้านทานการดัดโค้งจะขึ้นกับ
อัตราส่วนความกว้าง/ความหนา ดังรูปที่
7แต่สำหรับชิ้นงานที่มีอัตราส่วน ความกว้าง/ความหนา มากกว่า 8
ขึ้นไป การดัดโค้งที่เกิดขึ้นจะอยู่ในสภาวะของ
ความเครียดระนาบ และความต้านทานการดัดโค้งจะไม่ขึ้นกับ
อัตราส่วนความกว้าง/ความหนา ดังนั้น
การทดสอบการดัดโค้งจึงมักจะกำหนดขนาดชิ้นงานให้มีอัตราส่วน
ความกว้าง/ความหนา มากกว่า 8 ขึ้นไป
เพื่อกำจัดผลของขนาดของชิ้นงาน ที่จะมีต่อการทดสอบ
ภาพที่ 7 : ความเค้นและความเครียดในการทดสอบการดัดโค้ง
- (a) ความเค้นและความเครียดที่เกิดขึ้น ณ
บริเวณที่ทดสอบการดัดโค้ง
- (b) กราฟระหว่างความเครียดและ
อัตราส่วนความกว้าง/ความหนา
ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น
จะเห็นได้ว่าปกติเราจะไม่ค่อยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับขนาดของชิ้นทดสอบการดัดโค้งมากนัก
แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรฐาน JIS Z 2204
ได้แบ่งชิ้นทดสอบสำหรับการดัดโค้ง ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1.) ชิ้นทดสอบประเภทแผ่นที่มีความหนา (t) ตั้งแต่ 3 มม.
ขึ้นไป โดยความกว้าง (w) ของชิ้นทดสอบที่ใช้จะอยู่ระหว่าง 20 -
50 มม.
ถ้าวัสดุมีความกว้างไม่ถึงตามที่กำหนดก็ให้ใช้ความกว้างสูงสุดที่สามารถเตรียมได้
ส่วนความยาวนั้นจะขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นทดสอบ
และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ
ถ้าวัสดุมีความหนามากกว่า
25 มม. สามารถที่จะทำการกลึงไสผิวด้านหนึ่งให้มีความหนาลดลงได้
ตามแต่ความเหมาะสมกับอุปกรณ์การทดสอบ
แต่ต้องมีความหนาไม่ต่ำกว่า 25 มม. และในการทดสอบ
ให้ใช้ด้านที่ไม่ได้ทำการกลึงไสมาเป็นผิวด้านนอกที่รับแรงดึงในระหว่างทำการดัดโค้ง
ภาพที่ 8 : ชิ้นงานทดสอบประเภทแผ่น
2.) ชิ้นทดสอบท่อน (bar) ดังแสดงในรูปที่ 9
โดยค่า D ซึ่งเป็นเส้นผ่านศูนย์กลาง
(สำหรับชิ้นงานที่มีหน้าตัดเป็นวงกลม)
หรืออาจเป็นเส้นผ่านศูนย์กลางภายในของรูปหลายเหลี่ยม
(สำหรับชิ้นงานที่มีหน้าตัดเป็นรูปหลายเหลี่ยม)
ถ้าวัสดุมีค่า D มากกว่า 30 มม.
สามารถที่จะทำการกลึงไสให้มีขนาดเล็กลง แต่ต้องมี D
หลังทำการกลึงไสไม่ต่ำกว่า 25 มม. ดังรูปที่ 10
และในการทดสอบ
ให้ใช้ด้านที่ไม่ได้ทำการกลึงไสมาเป็นผิวด้านที่รับแรงดึงในระหว่างทำการดัดโค้ง
ส่วนความยาวของชิ้นทดสอบนั้นจะขึ้นอยู่กับค่า D ของชิ้นทดสอบ
และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ
ภาพที่ 9 : ชิ้นงานทดสอบประเภท bar ก่อนทำการกลึงไส
ภาพที่ 10 : ชิ้นงานทดสอบประเภท bar
หลังจากทำการกลึงไสแล้ว
3.) ชิ้นทดสอบสำหรับทำการทดสอบ วัสดุพวก plate หรือ strip
ที่มีความหนาต่ำกว่า 3 มม. ลงไป
โดยความกว้างของชิ้นทดสอบจะใช้อยู่ระหว่าง 15 -50 มม.
โดยถ้าวัสดุมีความกว้างไม่ถึงตามที่กำหนดก็ให้ใช้ความกว้างสูงสุดที่สามารถเตรียมได้
ส่วนความยาวนั้นจะขึ้นอยู่กับความหนาของชิ้นทดสอบ
และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดสอบ
ที่มา :
สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย
|