ความล้าของโพลิเมอร์
โดย ดร. จินตมัย
สุวรรณประทีปศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
ความล้าของโพลิเมอร์
ความล้าเกิดขึ้นจากการที่ชิ้นส่วนถูกกระทำภายใต้ภาระที่ซ้ำ
ๆ กันเป็นเวลานาน เช่น ปีกของเครื่องบิน ถังความดัน สะพาน
และชิ้นส่วนต่าง ๆ ภายในรถยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้ความล้าไม่ได้เกิดขึ้นในชิ้นส่วน
ในบริเวณที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อรับแรงที่กระทำซ้ำ ๆ
กันอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้น เนื่องจากในบางครั้ง
ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนนั้น ๆ
ไม่ได้ถูกคาดหวังที่จะอยู่ภายใต้ภาระของแรงกระทำที่ซ้ำ ๆ
กันก็ตาม แต่ภาระของ แรงกระทำที่ซ้ำ ๆ
ก็สามารถเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปมาได้เช่นกัน
ในปัจจุบัน
โพลิเมอร์ได้นำมาใช้งานทางด้านวิศวกรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งการที่จะใช้งานได้อย่างปลอดภัยนั้น
เราจะต้องทราบถึงสมบัติต่าง ๆ
ที่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุการใช้งานที่เพิ่มขึ้น
เนื่องจากเป็นที่ทราบกันแล้วว่า
โพลิเมอร์เป็นวัสดุที่มีสมบัติเปลี่ยนไปตามเวลา (time-dependent
behaviour) ดังนั้นสมบัติทางความล้า
ซึ่งเป็นสมบัติที่ขึ้นอยู่กับเวลาประเภทหนึ่งย่อมเป็นสิ่งที่วิศวกรและนักวัสดุศาสตร์ควรให้ความสำคัญก่อนที่
จะนำโพลิเมอร์ชนิดนั้น ๆ ไปใช้งาน
คำนิยาม
ความล้า (fatigue)
หมายถึงสมบัติเชิงกลของวัสดุเมื่อวัสดุนั้น ๆ
อยู่ภายใต้ภาระที่มีแรงกระทำเป็นคาบ ซ้ำ ๆ
กันอยู่เป็นระยะเวลานาน เป็นผลทำให้วัสดุเกิดการวิบัติ
โดยที่ภาระของแรงที่มากระทำนั้นจะมีค่าต่ำ
กว่าแรงที่กระทำให้วัสดุวิบัติในทันที เช่น แรง ณ จุดคราก หรือ
แรง ณ จุดแตกหัก ดังนั้นข้อกำหนดสำคัญ
ของความล้าได้แก่ระยะเวลาของกลไกที่ใช้เวลานานและภาระของแรงที่ต่ำ
ในบางครั้งจะมีการใช้คำว่า ความล้าพลวัต (dynamic fatigue)
แทนความล้าที่เกิดขึ้นจากแรงกระทำที่เป็นคาบ ซ้ำ ๆ กันดังที่ได้
กล่าวมาแล้ว เพื่อที่จะแจกแจงความแตกต่างจาก ความล้าสถิต (static
fatigue) ซึ่งจะหมายถึงความ คืบตัวแตกหัก (creep rupture)
ที่การวิบัติเกิดขึ้นจากแรงกระทำคงที่
อย่างไรก็ตามโดยส่วนใหญ่แล้ว
เมื่อกล่าวถึงความล้าในทางการทดสอบสมบัติเชิงกลแล้วความเข้าใจโดยทั่วไปจะหมายถึงความล้าพลวัต
การทดสอบความล้า
ในการทดสอบความล้านั้นโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการนำเอาชิ้นงานซึ่งกำหนดรูปร่างเฉพาะสำหรับการทดสอบ
หาสมบัติทางความล้ามารับภาระตามที่กำหนดที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นคาบและมีการกำหนดพารามิเตอร์
ในการทดสอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (รูปที่ 1)
ทั้งนี้จะการทดสอบจนกระทั่งเกิดการแตกหักของวัสดุหรือครบจำนวนรอบของการทดสอบที่กำหนดไว้
เช่น หนึ่งล้านรอบ เป็นต้น
โดยการแสดงผลของการทดสอบจะนิยมแสดงในรูปกราฟที่เรียกว่า กราฟ S-N
ซึ่งได้แก่
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าของความเค้นและจำนวนรอบที่เกิดการแตกหัก ณ
ค่าความเค้นนั้น ๆ ดัง แสดงในภาพที่ 2
ซึ่งจากกราฟจะสามารถหาอายุของความล้าได้ (fatigue life หรือ
endurance limit) อย่างไรก็ตามวัสดุบางประเภทเช่น อะลูมิเนียมผสม
อาจจะไม่แสดงถึงอายุความล้านี้คือไม่ปรากฏเส้นขนาน ในแนวนอน
นอกจากนี้โพลิเมอร์ยังแสดงถึงจุดเปลี่ยนแปลงของการแตกหักแบบเหนียวและแข็งเปราะ
(ductile-brittle fracture transition) อีกด้วย
ซึ่งจะได้กล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
การวิบัติโดยความล้าของโพลิเมอร์
เมื่อวัสดุอยู่ภายใต้การรับภาระที่เปลี่ยนไปมาเป็นเวลานาน
ในที่สุดวัสดุนั้น ๆ ก็จะเกิดการวิบัติขึ้น การวิบัติของ
วัสดุที่มีสาเหตุจากความล้านั้นสามารถเป็นไปได้ทั้งการวิบัติที่นำไปสู่การแตกหักของวัสดุหรือการวิบัติที่ทำให้
ชิ้นส่วนนั้น
ๆไม่สามารถที่จะทำหน้าตามที่ออกแบบไว้ได้อย่างสมบูรณ์
เช่นมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปเนื่องจากการเกิด
ความเครียดสูงจนเกิดการเปลี่ยนรูปอย่างถาวร (plastic
deformation) ซึ่งการเกิดการวิบัตินั้นย่อมต้องมี
กลไกในการอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดได้
โดยสำหรับโพลิเมอร์แล้วนั้นจะประกอบไปด้วยกลไกหลัก 3 กลไกได้แก่
- การวิบัติจากความร้อน (Failure by
Thermal)
ในกรณีของวัสดุที่มีสมบัติยืดหยุ่นสมบูรณ์
(perfectly elastic) นั้น เมื่อทำการทดสอบความล้า วัสดุจะมี
ความสามารถในการคงไว้ซึ่งอุณหภูมิที่ชิ้นงานตัวอย่างที่คงที่
ซึ่งจะมีค่าเทียบเท่ากับอุณหภูมิแวดล้อม
เนื่องจากวัสดุไม่มีการปลดปล่อยพลังงานออกมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปร่างกลับไปกลับ
อย่างไรก็ตาม สำหรับโพลิเมอร์แล้ว
ปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นไปได้ยากเนื่องเป็นวัสดุที่มีสมบัติยืดหยุ่นหนืด
(viscoelasticity)
ทำให้โพลิเมอร์มีการปลดปล่อยพลังงานออกมาจากการเปลี่ยนแปลงรูปร่างในรูปของความร้อน
ซึ่งความร้อนนี้เอง จะทำให้ชิ้นงานมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น
หากความร้อนที่เกิดขึ้นนี้ไม่สามารถระบายไปสู่สภาพแวดล้อมได้และสะสมอยู่ใน
ชิ้นงานทำให้สมบัติของวัสดุเปลี่ยนไปเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นจนถึงอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้าง
การ เสื่อมสภาพ
หรือการลดความแข็งแรงในวัสดุจุดใดจุดหนึ่งซึ่งจะนำไปสู่การวิบัติของวัสดุในที่สุด
โพลิเมอร์จะได้รับ
ผลกระทบจากกลไกประเภทนี้ได้มากกว่าวัสดุประเภทอื่นเนื่องจากโพลิเมอร์ค่อนข้างที่จะไวต่อผลกระทบจาก-
อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
ในขณะที่โลหะและเซรามิกส์จะถูกกระทบน้อยกว่าจากอุณหภูมิในระดับที่เพิ่มขึ้นอิทธิพล
ที่มีผลกระทบต่อการเพิ่มอุณหภูมิประเภทนี้ได้แก่
ความถี่ในการทดสอบและรูปร่างชิ้นงานหรือชิ้นส่วน ความถี่
ที่สูงมีผลทำให้ความร้อนเกิดขึ้นสูงกว่าการทดสอบที่ความถี่ต่ำและชิ้นงานที่มีรูปร่างที่ช่วยในการกระจายความร้อน
ไปสู่สิ่งแวดล้อมที่ดีก็จะสามารถคงอุณหภูมิของชิ้นงานได้ดีกว่า
การวิบัติประเภทนี้แตกต่างจากความล้าจากความ ร้อน (thermal
fatigue)
ซึ่งในกรณีหลังจะหมายถึงความล้าที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิแวดล้อม
ทำให้เกิดภาระที่เปลี่ยนไปมาบนชิ้นส่วน
- การวิบัติจากการคืบตัว (Failure by Creep Deformation)
โพลิเมอร์นั้นสามารถเกิดการคืบตัวและสามารถนำไปสู่การวิบัติได้
การคืบตัวนั้นเกิดขึ้นเมื่อวัสดุอยู่ภายใต้ภาระของ
แรงที่คงที่เป็นเวลานาน ดังนั้นแม้แต่ในการทดสอบความล้า
การคืบตัวของโพลิเมอร์ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน หากแต่
ปริมาณของการคืบตัวนั้นจะมากหรือน้อยเท่านั้นในกรณีของการทดสอบที่มีความเครียดที่เกิดขึ้นไม่สูง
อิทธิพลของ การคืบตัวต่อสมบัติความล้าของโพลิเมอร์จะมีน้อย
เนื่องจากการคืบตัวของโพลิเมอร์จะเกิดขึ้นในช่วงแรกของการ
ทดสอบเท่านั้นและจะมีอัตราการคืบตัวที่ลดลงเรื่อย ๆ
จนมีค่าต่ำมากก่อนที่ชิ้นงานจะเกิดรอยแตกและขยายตัวนำ
ไปสู่การวิบัติของวัสดุ
อย่างไรก็ตามถ้าหากความเครียดที่ใช้ในการทดสอบมีค่าสูง
จะทำให้โพลิเมอร์ไม่สามารถคืนตัว
ได้ภายในระยะเวลาหนึ่งรอบของการทดสอบ
ทำให้เกิดค่าความเครียดตกค้างขึ้น
ซึ่งค่าความเครียดนี้จะสะสมและ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ตามจำนวนรอบของการทดสอบซึ่งก็คือการคืบตัวนั่นเอง
จนกระทั่งชิ้นงานเกิดการวิบัติเนื่องจากการ คืบตัวนี้ในที่สุด
โดยปกติแล้วโพลิเมอร์จะมีการคืบตัวที่สูงกว่าวัสดุประเภทอื่นอยู่แล้วในการใช้งานแม้ที่อุณหภูมิต่ำ
ดังนั้นการวิบัติประเภทนี้จึงเห็นได้ชัดสำหรับโพลิเมอร์เช่นกัน
- การวิบัติจากการขยายตัวของรอยแตก (Failure by Crack
Propagation)
การวิบัติจากการขยายตัวของรอยแตกนี้เป็นกลไกที่พบเห็นได้มากในการวิบัติทางความล้าของวัสดุ
ซึ่งจะเริ่มจากการ ก่อตัวของรอยแตก (crack initiation)
และขยายตัวของรอยแตกนั้น (propagation)
นำไปสู่การวิบัติแบบแตกหัก ของวัสดุในที่สุด
ซึ่งจะว่าไปแล้วกลไกเช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ปกติที่เกิดขึ้นสำหรับการแตกหักของวัสดุไม่ว่าจะเป็นการ
ทดสอบความล้าหรือการทดสอบแรงดึง หากแต่ในทางความล้านั้น
การเกิดและขยายตัวของรอยแตกจะต้องใช้เวลาและ ภาระที่ซ้ำ ๆ
กันเป็นเวลานานในการดำเนินการก่อให้เกิดกลไกดังกล่าว
จะเห็นได้ว่าจำนวนรอบของภาระกระทำนั้นมีผล
ต่อทั้งการก่อตัวของรอยแตกและการขยายตัวของรอยแตก
ดังนั้นอายุความล้าสุทธิของวัสดุ (Nf) สามารถเขียนเป็น
สมการง่าย ๆ ได้ดังนี้ [4]
Nf = Ni + Np
โดยที่ Ni
หมายถึงจำนวนรอบการรับภาระที่ก่อตัวของรอยแตก และ Np
หมายถึงจำนวนรอบการรับภาระในการขยายตัวของรอยแตกไปสู่การวิบัติ
ยกเว้นในบางกรณีเท่านั้นที่โพลิเมอร์มีรอยแตกอยู่แล้วในเนื้อวัสดุ
ซึ่งจะทำให้รอยแตกนั้น ๆ สามารถขยายตัวได้ อย่างทันที
ซึ่งในกรณีนี้ Ni ก็จะมีค่าเป็นศูนย์
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสมบัติความล้าของโพลิเมอร์
เป็นที่ทราบกันดีว่าสมบัติเชิงกลของโพลิเมอร์นั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างเช่น
โครงสร้างทางโมเลกุล (molecular structure)
การจัดเรียงตัวของโมเลกุล (orientation)กระบวนการผลิต
(processing) น้ำหนักโมเลกุล (molecular weight)
และปริมาณความเป็นผลึก (crystallinity) เป็นต้น ซึ่งสมบัติทาง
ความล้าของโพลิเมอร์นี้ก็เช่นกัน
คือจะเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังกล่าว
ยกตัวอย่างเช่นโพลิเมอร์ที่
มีน้ำหนักโมเลกุลสูงมักจะมีความต้านทานต่อความล้าสูง
อายุความล้าของโพลิสไตรีนสามารถเพิ่มขึ้นถึง 100 เท่า
เมื่อน้ำหนักโมเลกุลของโพลิเมอร์เพิ่มขึ้นเพียง 10 เท่า จาก 1.6
x 105 ไปเป็น 2.0 x 106 นอกจากนี้
ปริมาณความเป็นผลึกของโพลิเมอร์ก็ยังมีส่วนสำคัญต่อสมบัติทางความล้า
โดยทั่วไปแล้วโพลิเมอร์ที่มีความเป็น
ผลึกสูงจะมีความทนทานต่อความล้าสูงกว่าโพลิเมอร์ที่มีผลึกต่ำ
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างกราฟ S-N ของโพลิเมอร์ 2
ประเภทได้แก่โพลิอีเทอร์ซัลโฟน (PES) ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ไร้ผลึก
และโพลิอีเทอร์อีเทอร์คีโตน (PEEK) ซึ่งเป็น โพลิเมอร์กึ่งผลึก
จะเห็นได้ว่า PEEK มีความแข็งแรงต่อความล้า (fatigue strength)
สูงกว่า PES นอกจากนี้ PES
ยังแสดงถึงจุดเปลี่ยนแปลงของการแตกหักแบบเหนียวและแบบแข็งเปราะ
(ductile-bitttle fracture transition) ในขณะที่ PEEK
ยังคงสมบัติการแตกหักแบบเหนียวไว้ได้ซึ่งทำให้
การวิบัติแบบรุนแรงสามารถหลีกเลี่ยงได้สำหรับโพลิเมอร์กึ่งผลึก
สรุป
เนื่องจากความล้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชิ้นส่วนหลังจากการใช้งานเป็นเวลานาน
ชิ้นส่วนมิได้เกิดการวิบัติขึ้นทันทีทันใด ในการใช้งาน
เป็นการวิบัติที่เกิดขึ้นได้แม้กระทั่งที่ภาระต่ำและเกิดขึ้นโดยไม่อาจจะทำนายได้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง
จึงทำให้การทดสอบความล้าของวัสดุมีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากเราจะได้ทราบถึงสมบัติความล้าของโพ-
ลิเมอร์ประเภทที่จะนำมาใช้
เพื่อที่จะสามารถออกแบบชิ้นส่วนได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย
ซึ่งวิธีการออกแบบเพื่อ
ป้องกันความล้านั้นสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดการวิบัติของชิ้นส่วนจากความล้าในการใช้งานได้
รวมทั้งสามารถคาดเดา ได้ถึงอายุของการใช้งานในสภาวะต่าง ๆ
โดยวิธีการออกแบบเพื่อป้องกันความล้าของวัสดุนั้นสามารถอ่านได้จาก
บทความอื่นในวารสารฉบับนี้เช่นกัน
ภาพที่ 1 แผนภาพแสดงลักษณะตัวอย่างการทดสอบความล้าแบบไซน์
ภาพที่ 2 กราฟ S-N
จากการทดสอบความล้า
ที่มา : คัดลอกมาจาก
วารสารเทคโนโลยีวัสดุ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ โดย ดร.จินตมัย
สุวรรณประธีป
|